ขับรถลุยน้ำท่วมแล้วรถดับทำไงดี?

26/01/2022 15:41 น.

สรุปให้อ่านง่าย

  • น้ำท่วมรถแล้วรถดับเกิดจาก 2 สาเหตุหลัก คือ ระบบไฟฟ้าในรถเปียกน้ำแล้วช้อตทำให้กล่องควบคุมระบบไฟฟ้าหรือ ECU (Electronic Control Unit) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดของเครื่องยนต์เสียหาย หรือเกิดจากน้ำเข้าระบบกรองอากาศ(ท่อไอดีของเครื่องยนต์) ทำให้น้ำเข้าห้องเผาไหม้เครื่องยนต์ส่งผลให้หัวฉีดเชื่อเพลิงได้รับความเสียหาย
  • การตรวจสอบสาเหตุที่รถดับกลางน้ำท่วมนั้น ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์ในน้ำเด็ดขาด ให้เข็นรถไปให้พ้นพื้นที่น้ำท่วม แล้วเปิดดูไส้กรองอากาศของรถว่ามีน้ำเข้าไหม ถ้ามีแสดงว่ารถดับจากน้ำท่อไอดีของเครื่องยนต์ แต่ถ้าไส้กรองอากาศแห้งแสดงว่ารถดับจากระบบไฟฟ้าน่าจะช้อต
  • น้ำท่วมรถแบบไหนเคลมประกันได้นั้น มักจะเกิดจากกรณีที่รถเราจอดอยู่แล้วมีน้ำท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ จนท่วมเข้ามาในรถ
  • ประกันชั้นไหนที่คุ้มครองน้ำท่วมรถนั้น โดยปกติแล้ว คือ ประกันชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุดพร้อมบริการเลขาส่วนตัวที่คอยประสานงานเรื่องต่างๆ ให้เรา
  • หลังจากขับรถลุยน้ำท่วมและหาสาเหตุที่รถดับได้แล้ว ให้ดูแลรถด้วยการสตาร์ทเครื่องเพื่อให้ความร้อนไล่ความชื้นออกจากเครื่องยนต์ เหยีบเบรคซ้ำๆ เพื่อไล่น้ำออกจากผ้าเบรคซัก 5-10 นาทีแล้วดับเครื่องจอดรถตากแดด เปิดกระโปรงรถ เปิดประตูไว้ เพื่อไล่ความชื้นออกจากรถให้เร็วขึ้น

นอกจากที่เราจะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางในกรุงเทพกันเป็นหลักชั่วโมงในวันที่ฝนตกแล้ว อีกเรื่องที่เราควรต้องรู้และระวังไว้ก็คือ เมื่อน้ำรอระบายเกิดท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ และเราจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำที่รอระบายจนท่วมสูงที่ว่านี้กลับบ้านแล้วก็เกิดเหตุการณ์รถดับกลางน้ำขึ้นมา งานนี้เราจะเอาตัวเราและรถคันเก่งของเรารอดจากเหตุระทึกใจนี้ได้อย่างไรมาดูกันเลย

รถดับเมื่อขับลุยน้ำท่วมเกิดจากอะไร

การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ ต้องแก้ที่สาเหตุจึงเป็นที่มาว่าเราควรต้องรู้ก่อนว่าทำไมขับรถลุยน้ำท่วมแล้วรถดับ ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดจาก 2 สาเหตุหลักก็คือ

ระบบไฟฟ้าในรถเปียกน้ำ  :  ทำให้กล่องควบคุมระบบไฟฟ้าหรือ ECU (Electronic Control Unit) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ได้รับความเสียหายหรือเกิดการลัดวงจรทำให้เครื่องดับ

น้ำเข้าระบบกรองอากาศ(ท่อไอดีของเครื่องยนต์) :  ทำให้น้ำเข้าห้องเผาไหม้เครื่องยนต์ส่งผลให้หัวฉีดเชื่อเพลิงได้รับความเสียหายหรือในบางกรณีอาจเกิดจากน้ำเข้าก้านวัดระดับน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์ดับ

รถดับที่แช่อยู่ในน้ำส่งผลเสียอย่างไรบ้าง

บอกกันตรงๆ ว่าเข้าขั้นโคม่าโดยเฉพาะรถที่นำ้เข้าระบบกรองอากาศ เพราะการทำงานของรถนั้นหลื่อลื่นด้วยน้ำมันหลื่อลื่นและอาศัยการอัดอากาศให้เกิดแรงดันทำให้เครื่องยนต์ทำงาน แล้วถ้าเราขับรถเครื่องร้อนๆ อยู่ไปเจอน้ำเข้าเครื่องจากช่องกรองอากาศดี ซึ่งก็จะทำให้เครื่องน๊อกทันทีทั้งจากความเย็นของอุณหภูมิน้ำและค่าความหนืดของน้ำที่ต่างจากอากาศที่ไหลเข้าไปที่ห้องเผาไหม้(เข้าลูกสูบ)ในรถเครื่องยนต์เบนซิน หรือเข้าไปที่หัวฉีดในรถเครื่องยนต์ดีเซล หรือเราพูดกันง่ายๆ ได้เลยว่าเครื่องพัง ต้องไปอู่หรือศูนย์บริการเพื่อผ่าเครื่องล้างเอาน้ำออกเท่านั้นจริงๆ

นอกจากเครื่องยนต์แล้ว ยังมีระบบเบรก ระบบเพลา ระบบลูกหมากต่างๆ ที่มีลูกยางห่อหุ้มอยู่ที่อาจจะมีน้ำเข้าไปขังอยู่ รวมถึงระบบเกียร์ในเฟืองท้าย สายพานและหัวเทียนด้วยในรถมอเตอร์ไซค์ที่ต้องล้างด้วยน้ำมันเพื่อเอาน้ำออกให้หมด และควรดูแลห้องโดยสารระบบไฟโดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ที่อาศัยกล่องควบคุมระบบไฟฟ้าหรือ ECU (Electronic Control Unit) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ แบตเตอรี่ และประตูที่อาจเกิดสนิมขึ้นได้ด้วย

เมื่อรถดับกลางน้ำท่วมควรทำไง     

ก่อนอื่นเลย ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์ในน้ำเด็ดขาด เพราะนั่นจะยิ่งทำให้รถพังเร็วขึ้น เราควรตั้งสติก่อนแล้วบิดกุญแจดับเครื่องจากนั้น

1.  ออกจากรถเพื่อขอความช่วยเหลือในการเข็นรถหนีน้ำไปที่สูงหรือที่แห้ง

2.  เปิดฝากระโปรงหน้ารถเพื่อตรวจสอบว่า รถดับจากน้ำเข้าระบบกรองอากาศหรือดับจากระบบไฟฟ้าเปียกน้ำด้วยการ

2.1 มองหาหม้อกรองอากาศรถของเราให้เจอก่อน (อาจจะต้องเปิดคู่มือการใช้งานรถเพราะรถแต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์อยู่คนละตำแหน่งกัน)

2.2 เปิดฝาหม้อกรองอากาศออก เพื่อดูแผ่นกรองว่ายังแห้งอยู่ไหม ถ้ายังแห้งดีอยู่รถก็น่าจะดับจากระบบไฟโดนน้ำแล้วลัดวงจร ซึ่งก็อาจจะแก้ไขเพื่อให้เราขับรถกลับบ้านได้ (ในกรณีนี้เราต้องรู้ว่าชิ้นส่วนไหนอยู่ตรงไหน แต่ถ้าไม่มั่นใจ แนะนำให้เอารถเข้าอู่หรือศูนย์บริการดีที่สุด)

3.  เมื่อรู้สาเหตุแล้วเราสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วย (ในกรณีที่เรารู้ว่าชิ้นส่วนไหนอยู่ตรงไหน)

3.1 ถ้ารถดับเพราะระบบไฟฟ้า ให้เราหาที่เติมลมยางที่มีอยู่ตามปั้มน้ำมันมาเป่าไล่น้ำออกไป เช่น ที่ขั้วแบตเตอรี่ ที่บริเวณหัวเทียนให้ถอดจุ๊บยางออกมาเป่าลมให้แห้ง

3.2 รถที่ดับเพราะน้ำเข้าระบบกรองอากาศหรือเข้าท่อไอดี งานนี้เราเรียกใช้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินจากบริษัทประกันดีที่สุด ซึ่งในบางบริษัทประกันมีบริการช่างซ่อมรถยนต์ฉุกเฉินให้ด้วยในประกันชั้น 1

น้ำท่วมรถแบบไหนเคลมประกันได้

น้ำท่วมที่สามารถเครมประกันได้มักจะเกิดจากกรณีที่รถเราจอดอยู่แล้วมีน้ำท่วมสูงขึ้นจนท่วมเข้ามาในรถซึ่งแตกต่างจากการขับรถไปที่บริเวณที่มีน้ำท่วมซึ่งแบบหลังนี้เหมือนเราจงใจขับรถไปบริเวณที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมมากกว่ารถโดนน้ำท่วม แล้วประกันชั้นไหนบ้างที่คุ้มครองน้ำท่วมรถนั้นอย่างที่รู้ๆ กันว่าเป็นประกันชั้น 1 ที่มีความคุ้มครองสูงสุดทั้งการชนที่เกิดจากรถด้วยกันเองหรือความเสียหายที่เกิดจากการชนสิ่งอื่นๆ และความเสียหายที่เกิดจากภัยก่อการร้าย อุทกภัย พายุลูกเห็บหรือแผ่นดินไหว

ส่วนประกันชั้น 2+ นั้นให้ความคุ้มครองน้ำท่วมในบางบริษัทประกันภัยหรือบางที่เราสามารถซื้อประกันน้ำท่วมเพิ่มได้ นิกจากนี้ยังมีบริการโทรขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ช.ม., บริการรถยกฉุกเฉินเมื่อเราต้องการเอารถหนีน้ำเพื่อไม่ให้รถแช่น้ำนานๆ แล้วเสียหนักไปกว่าเดิม

รถลุยน้ำท่วมมาแล้วดูแลรถอย่างไร

หลังจากขับรถลุยน้ำท่วมสูงหรือในบางคนที่รถแช่น้ำมาแล้วพักหนึ่ง วิธีดูแลรถที่จะทำให้รถที่รักของเรากลับมาเป็นปกติมากที่สุดนั้น เริ่มจาก

-  ด้วยการขับรถไปที่แห้งโดยที่ยังไม่ดับเครื่องยนต์ (ถ้ารถของเรายังขับได้หรือเครื่องไม่ดับ)เพื่อให้ความร้อนของเครื่องยนต์ไล่ความชื้นออกไป ให้เหยีบเบรคย้ำๆ เพื่อไล่น้ำออกจากผ้าเบรค

-  ถ้ารถดับให้เราเข็นรถไปที่แห้งก่อน ถ้าไม่สามารถจริงๆ ให้เราเอาแม่แรงมายกรถขึ้นที่สูงเพื่อหลีกเลี่ยงรถแช่น้ำไว้ก่อน อย่าดึงเบรกมือไว้เพื่อป้องกันเบรคมือค้าง

-  ทำให้รถของเราแห้งโดยเร็วที่สุด ซึ่งอาจจะเป็นการจอดรถตากแดดแล้วเปิดประตูทิ้งไว้ทุกบาน ส่วนรถที่จอดแช่น้ำมา เราต้องป้องกันสนิมที่อาจจะเกิดขึ้นตามขอบประตูด้วยการฉีดสเปรย์กัยชื้น หรือระวังน้ำที่อาจจะขังอยู่ในขอบลูกยางต่างๆ ของอะไหล่รถด้วยการให้ช่างเปิดขอบยางเพื่อเอาน้ำออกแล้วฉีดสเปรย์กันชื้นป้องกันสนิมที่เครื่องยนต์

-  ส่วนของระบบไฟของรถ หลังจากที่เราตรวจสอบว่าแบตเตอรี่มีไฟไหมแล้วให้ต่อขั้วระบบไฟตามปกติ ถ้าเครื่องยนต์แห้งแล้วให้เราสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ทำงาน ลองขับในระยะสั้นๆ เพื่อให้ล้อรถได้หมุน

-  สังเกตการทำงานของรถว่าเครื่องยนต์เดินปกติหรือไม่ เพราะในบางครั้งอาจจะมีน้ำเข้าถังน้ำมันทำให้เครื่องสะดุดได้ ซึ่งก็ต้องมาไล่ความชื้นออกด้วย

-  แต่ถ้าเราสตาร์ทเครื่องแล้ว มีไฟเตือนที่แผงควบคุม (car console) ที่ยังไงก็ไม่ดับ เครื่องเดินสะดุด ก็สมควรแก่เวลาที่เราต้องเอารถไปเยื่ยมพี่ช่างหรือเข้าศูนย์กันแล้วล่ะ

ใครที่ขับรถหน้าฝนเป็นประจำทุกวัน เสี่ยงต่อน้ำรอระบายอยู่เนืองๆ ในพื้นที่ทีมีประวัติน้ำท่วม อย่าลืมตรวจดูว่าประกันของเป็นคุณชั้นไหน เมื่อเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินเราจะได้ขอความช่วยเหลือได้อย่าทันท่วงที

 

อ้างอิงจาก

https://www.facebook.com/ 
https://www.wikihow.com/
https://thaiengine.org/
https://www.wikihow.com/