Tip & Trick EP.16: มีรถ = ลดภาระ รวม 7 วิธีการดูแลรถให้ลดค่าใช้จ่าย

14/03/2025 13:24 น.

Tip & Trick EP.16: มีรถ = ลดภาระ รวม 7 วิธีการดูแลรถให้ลดค่าใช้จ่ายจริง

Cr. Freepik

คุณคงคิดเหมือนกันใช่ไหมคะว่า การมีรถช่วยให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น แต่ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ค่าอะไหล่รถ ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งให้คุณโดยไม่ทันตั้งตัวได้ แต่ถ้าคุณรู้วิธีการดูแลรถอย่างถูกวิธี จะช่วยลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ

เพียงแค่ขับขี่รถอย่างนุ่มนวล ทำความสะอาดรถอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแจ้ง เช็กระดับน้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หมั่นดูแลลมยาง ดูแลแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้นาน ๆ และเลือกใช้ประกันให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณ ช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น แถมยังใช้รถได้อย่างดีในระยะยาว รายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ตามไปดูกันเลย

 

1. ขับขี่รถอย่างนุ่มนวล

(Alt Text 2 : วิธีการดูแลรถ ขับรถอย่างนุ่มนวล)

Cr. Freepik

การดูแลรถวิธีแรกที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง คือการขับขี่รถอย่างนุ่มนวล ไม่กระชากเครื่องยนต์แรง ๆ จะช่วยถนอมการทำงานของเครื่องยนต์ และลดการใช้เชื้อเพลิงได้น้อยลง ทำให้รถยังคงสภาพที่สมบูรณ์ต่อไปได้ยาวนานขึ้น

นอกจากการไม่เร่งเครื่องแล้ว การไม่เบรกรถยนต์กะทันหันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการดูแลรถที่ช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์และชิ้นส่วนภายในได้ ทำให้รถยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้นเช่นกัน และช่วยลดความถี่ในการซ่อมรถได้อย่างดี

 

2. ทำความสะอาดรถอยู่เสมอ

การดูแลรถเบื้องต้น ทำความสะอาดรถ

Cr. Freepik

รู้ไหมคะว่า แค่ทำความสะอาดรถอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็ช่วยลดค่าซ่อมรถไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพราะสิ่งสกปรกที่เกาะบนตัวรถมีฤทธิ์กัดกร่อน และฝังลึกอยู่ตามซอกหลืบที่ทำความสะอาดไม่ถึง อาจไปทำลายสีรถให้เสียหาย ดังนั้น การดูแลรถส่วนด้านนอกง่าย ๆ คือการใช้น้ำยาล้างรถเช็ดล้างฝุ่น โคลน ดิน และคราบสกปรกอื่น ๆ ให้สะอาด จากนั้นเช็ดด้วยผ้าแห้งเพื่อป้องกันคราบน้ำบนรถ วิธีนี้ใช้ได้ทั้งกับรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์

สำหรับรถใครที่เป็นรถยนต์ ล้างรถแค่ด้านนอกอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำความสะอาดภายในห้องโดยสารด้วยเช่นกัน เพียงแค่เก็บเศษขยะ พร้อมกับดูดฝุ่นและเศษอาหารในรถให้สะอาด เพราะสิ่งสกปรกอาจดึงดูดสัตว์และแมลงเข้ามาทำรังภายในตัวรถ และกัดสายไฟเสียหายได้ รวมถึงนำพรมปูพื้นมาล้างและตากแดดให้แห้งเพื่อลดการหมักหมมของเชื้อราและเชื้อโรคต่าง ๆ นั่นเอง

 

3. หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแจ้ง

การดูแลรักษารถ ไม่จอดรถกลางแจ้ง

Cr. Freepik

ด้วยสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน อาจทำให้ภายนอกของรถเสียหายได้ อย่างเช่น หากจอดรถกลางแดดหลายชั่วโมงติดต่อกันหลายวัน อาจทำให้สีรถซีด ด่าง และแตกลายงาได้ไว หรืออีกกรณีหนึ่ง ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูฝนแล้วไม่ได้จอดรถไว้ในที่ร่ม อาจทำให้รถสกปรกจนกลายเป็นคราบฝังแน่นได้

ดังนั้น วิธีดูแลรถที่ดีที่สุดคือ การจอดในที่ร่มหรือใช้ผ้าคลุมรถเมื่อหาที่จอดในร่มไม่ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงแดด ลม ฝน รวมทั้งสิ่งสกปรกอย่างขี้นกและยางไม้ที่อาจทำลายพื้นผิวรถ นอกจากช่วยให้รถดูใหม่อยู่เสมอ ยังช่วยประหยัดค่าทำสีรถใหม่ที่อาจสูงถึงหลักหมื่นบาทอีกด้วย

 

4. เช็กน้ำมันรถอยู่เสมอ

การดูแลรถ เช็กน้ำมันรถ

Cr. Freepik

การเช็กน้ำมันรถให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งวิธีการดูแลรถที่ควรให้ความสำคัญ เพราะระดับน้ำมันเชื้อเพลิงที่น้อยกว่า ¼ ของถังเชื้อเพลิงอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานของระบบเชื้อเพลิงที่แย่ลง เช่น

  • ปั๊มเชื้อเพลิงทำงานผิดปกติ: เนื่องจากดูดอากาศเข้ามาปะปนกับน้ำมัน ส่งผลให้เครื่องยนต์สตาร์ตติดยากหรือไม่ติดเลย
  • การสะสมของสนิมและตะกอน: เมื่อมีน้ำมันเหลือน้อย ความชื้นภายในถังอาจทำให้เกิดสนิมและตะกอน ซึ่งอาจอุดตันท่อส่งเชื้อเพลิงและส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์

โดยปัญหานี้มักพบได้บ่อยจากการจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน หรือการใช้รถเป็นประจำทุกวันแล้วปล่อยให้น้ำมันในถังเหลือน้อยจนถึงขีด E (Empty) เพราะฉะนั้น ควรเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนจอดหรือใช้รถ เพื่อถนอมระบบเชื้อเพลิงให้มีอายุการใช้งานที่ยาวขึ้น อีกทั้งยังลดค่าซ่อมระบบเชื้อเพลิงใหม่ได้อีกด้วย

 

5. หมั่นดูแลยางรถให้ใช้งานได้ยาว ๆ

ดูแลรถ ดูแลยาง

Cr. Freepik

ยางรถเป็นหัวใจสำคัญของการขับขี่ เพราะมีผลต่อสมรรถนะการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพ หากยางรถมีปัญหา เช่น ยางแบน ยางรั่ว หรือยางระเบิด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้ และมีโอกาสที่ตัวรถเกิดความเสียหายได้เช่นกัน เพื่อลดปัญหาเหล่านี้ สามารถใช้วิธีการดูแลรถด้วยการเช็กลมยางเดือนละ 1-2 ครั้ง เพื่อให้ลมยางอยู่ในระดับที่เหมาะสม แต่หากลมยางรถเหลือน้อยลง ขอแนะนำให้เติมลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ดังนี้

ค่าลมยางที่แนะนำ

รถยนต์ 4 ล้อ

  • รถยนต์ขนาดเล็ก: 30-32 PSI
  • รถยนต์ขนาดกลาง: 32-34 PSI
  • รถ SUV: 32-36 PSI
  • รถกระบะแบบไม่บรรทุก: 32-35 PSI
  • รถกระบะแบบบรรทุก: 34-40 PSI

รถจักรยานยนต์ (2 ล้อ)

  • Scooter: ล้อหน้า 28-30 PSI | ล้อหลัง 32-34 PSI
  • รถมอเตอร์ไซค์มีเกียร์: ล้อหน้า 30-32 PSI | ล้อหลัง 34-36 PSI
  • บิ๊ก ไบค์: ล้อหน้า 34-36 PSI | ล้อหลัง 37-42 PSI

(หมายเหตุ: PSI หรือ Pound per Square Inch คือ ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นหน่วยวัดความดันของลมที่บรรจุในยางรถ)

ประโยชน์ของการเติมลมยางในระดับที่เหมาะสม

  • ช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหายางแบนและยางระเบิด
  • ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น
  • ประหยัดน้ำมัน ลดจำนวนครั้งในการเติมเชื้อเพลิง
  • ยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง

เพียงแค่หมั่นดูแลและเติมลมยางให้ถูกต้อง ก็สามารถเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้!

 

6. ดูแลรักษาแบตเตอรี่

การดูแลรถ ดูแลรักษาแบตเตอรี่

Cr. Freepik

นอกจากล้อรถที่เป็นหัวใจสำคัญของการขับขี่แล้ว แบตเตอรี่ก็เป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้รถยนต์สามารถสตาร์ตติดได้และจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ระบบปรับอากาศ และระบบไฟฟ้าต่าง ๆ รวมถึงเป็นแหล่งสำรองกระแสไฟฟ้าของรถอีกด้วย เมื่อแบตเตอรี่มีปัญหา เช่น แบตเตอรี่หมด หรือแบตเตอรี่รั่ว รถก็จะใช้งานไม่ได้

เพราะฉะนั้น วิธีการดูแลรถที่ดีที่สุด คือ ควรเช็กสภาพแบตเตอรี่ทุก 6 เดือน พร้อมกับทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่เพื่อป้องกันคราบเกลือที่อาจทำให้จ่ายไฟไม่สะดวก จนรถสตาร์ตติดยาก นอกจากนี้ ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ทุก 2-3 ปี หรือเมื่อพบว่ารถสตาร์ตไม่ติด เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น

 

7. ใช้ประกันที่เหมาะสมกับรถของคุณ

การดูแลรถ ใช้ประกันที่เหมาะสมกับรถคุณ

Cr. Freepik

การดูแลรถวิธีสุดท้ายที่คานะอยากแนะนำก็คือ การเลือกใช้ประกันรถที่เหมาะสมกับประเภทรถที่ใช้ เพราะการใช้รถมีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ เช่น รถชน รถเสียกลางทาง รถหาย รถไฟไหม้ รวมถึงอุบัติเหตุอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับรถคุณ และนำไปสู่การเสียค่าซ่อม หรือค่าเสียหายราคาแพงได้  ดังนั้น การทำประกันรถจึงเป็นทางออกที่ดีที่สามารถลดภาระเรื่องค่าใช้จ่ายให้กับคุณได้ อีกทั้งยังสามารถนำรถไปซ่อมได้ทันที

หากคุณรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะเลือกประกันรถแบบไหนดี คานะมีเคล็ดลับง่าย ๆ มาแนะนำค่ะ โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้

  • ประเภทรถของคุณ: เลือกแผนประกันที่เหมาะกับประเภทของรถ เช่น รถเก๋ง รถ SUV รถกระบะ รถมอเตอร์ไซค์ และบิ๊ก ไบค์
  • พฤติกรรมการใช้รถของคุณ: หากคุณยังขับรถไม่ชำนาญ มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ให้เลือกใช้ประกันชั้น 1 แต่ถ้าคุณขับรถชำนาญ ให้ทำประกันชั้น 2+ และอีกกรณีหนึ่ง ถ้าคุณไม่ค่อยได้ใช้รถบ่อย แต่หากขับรถชำนาญ ประกันชั้น 3+ จะเหมาะสมที่สุด
  • อายุของรถที่ใช้: เป็นรถเก่า หรือรถใหม่ มีอายุเกิน 15 ปีหรือไม่

เมื่อเลือกรูปแบบประกันที่ต้องการได้แล้ว ขอแนะนำให้คุณเปรียบเทียบประกันรถของแต่ละยี่ห้อ โดยพิจารณาจากแผนประกัน ความคุ้มครอง สิทธิประโยชน์ และโปรโมชันที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้คุณได้ประกันรถที่คุ้มค่าทั้งราคาและความคุ้มครอง คานะขอแนะนำประกันรถผ่อนจ่ายเงินสด 0% สูงสุด 10 งวด ซื้อง่าย ไม่ง้อบัตร 

 

สรุป

การดูแลรถเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดภาระเรื่องค่าใช้จ่ายได้หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ค่าอะไหล่รถ ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

สำหรับใครที่มีแผนซื้อประกันรถเพื่อเพิ่มความอุ่นใจในการขับขี่ให้กับตัวเอง คานะขอแนะนำประกันรถจาก กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ ที่มีแผนประกันให้คุณเลือกตามประเภทของรถได้หลากหลาย ทั้งประกันรถยนต์, ประกันรถ SUV, ประกันรถ EV, ประกันรถกระบะ, ประกันบิ๊ก ไบค์ และประกันรถมอเตอร์ไซค์ พร้อมกับดีลสุดคุ้มประกันรถผ่อนจ่ายเงินสด 0% สูงสุด 10 งวด ซื้อง่าย ไม่ง้อบัตร